กล้วย
กล้วย มีกำเนิดอยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงได้หลายพันปี หลายปีมาแล้ว เชื่อกันว่ากล้วยเป็นผลไม้ชนิดแรกที่คนปลูก เพื่อเป็นอาหาร ประเทศไทยเราชื่อแน่ว่าปลูกกล้วยกินมานานมากแล้ว จดหมายในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ 300 กว่าปีมาแล้วก็กล่าวถึงเรื่องของกล้วย และยังมีผู้สำรวจและกล่าวว่ากล้วยหลาย 10 พันธุ์มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย แต่คนไทยกลับนิยมกินกล้วยกินน้อยมาก บางคนดูถูกด้วยซ้ำว่าเป็นผลไม้ของคนยาก เนื่องจากราคาถูก จึงถูกจัดให้เป็นผลไม้เกรดต่ำ นำมาขึ้นโต๊ะรับแขกไม่ได้ แขกจะถูกแย่ว่าเลี้ยงกล้วย ต้องไปหาผลไม้แพงๆ ซึ่งความจริงผลไม้ไทยๆ อย่างกล้วยนี้ สุดยอดวิตามินเชียวล่ะ
กินกล้วยต้านโรค (Lisa)
จริง ๆ แล้ว ไม่เกินเลยความจริงเลย กล้วยผลไม้ไทย ๆ ของเรานี่แหละใช้เป็นยาป้องกันและรักษาโรคได้หลายโรค และยังเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ คือมีทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังมีคุณสมบัติที่ย่อยง่าย ทางการแพทย์จึงได้เลือกให้กล้วยน้ำว้าสุกเป็นอาหารเสริมในวัยทารก
จริง ๆ แล้ว ไม่เกินเลยความจริงเลย กล้วยผลไม้ไทย ๆ ของเรานี่แหละใช้เป็นยาป้องกันและรักษาโรคได้หลายโรค และยังเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ คือมีทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังมีคุณสมบัติที่ย่อยง่าย ทางการแพทย์จึงได้เลือกให้กล้วยน้ำว้าสุกเป็นอาหารเสริมในวัยทารก
น้ำตาลที่เกิดขึ้นจากขบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้ง ขณะที่กล้วยสุกก็มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เมื่อกล้วยตกไปถึงลำไส้จะทำให้ลำไส้มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้แคลเซียมถูกดูดซึมง่ายและสมบูรณ์ขึ้น จึงนับว่าน้ำตาลในกล้วยมีคุณค่ากว่าน้ำตาลที่ได้จากธัญพืชอื่น ๆ
สารอาหารโปรตีน
ที่มีอยู่ในกล้วยน้ำว้า เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับเราอยู่หลายชนิด โดยเฉพาะมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า อาร์จินิน และ ฮีสติดีน ซึ่งกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก
นอกจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตแล้ว ในกล้วยแต่ละชนิดยังมีไขมันแม้จะอยู่ในปริมาณที่น้อยก็ตามกล้วยแต่ละชนิดจะให้โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ในปริมาณที่แตกต่างกัน จะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนจากตาราง โดยเปรียบเทียบจากเนื้อกล้วยในปริมาณ 100 กรัม เท่าๆ กัน
ส่วนวิตามินนั้น มองดูผิวเผิน กล้วยแต่ละชนิดสีขาวๆ ทั้งนั้นไม่น่าจะให้วิตามินเอเลย แต่ในกล้วยก็มีวิตามินเออยู่ด้วย แม้จะไม่มากเท่าวิตามินเอที่ได้จากมะละกอหรือมะม่วงสุก แต่ก็มีวิตามินเอมากกว่าผลไม้อีกหลาย ๆ ชนิด เช่น ชมพู่ ส้มโอ น้อยหน่า เป็นต้น ในบรรดากล้วยทุกชนิดนั้น กล้วยน้ำว้าจะมีวิตามินเอมากกว่าเพื่อน สำหรับวิตามินตัวอื่น กล้วยก็มีอยู่ครบทุกชนิดเช่นกัน ทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอะซิน
แตงโม
สารอาหารโปรตีน
ที่มีอยู่ในกล้วยน้ำว้า เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับเราอยู่หลายชนิด โดยเฉพาะมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า อาร์จินิน และ ฮีสติดีน ซึ่งกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก
นอกจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตแล้ว ในกล้วยแต่ละชนิดยังมีไขมันแม้จะอยู่ในปริมาณที่น้อยก็ตามกล้วยแต่ละชนิดจะให้โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ในปริมาณที่แตกต่างกัน จะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนจากตาราง โดยเปรียบเทียบจากเนื้อกล้วยในปริมาณ
ส่วนวิตามินนั้น มองดูผิวเผิน กล้วยแต่ละชนิดสีขาวๆ ทั้งนั้นไม่น่าจะให้วิตามินเอเลย แต่ในกล้วยก็มีวิตามินเออยู่ด้วย แม้จะไม่มากเท่าวิตามินเอที่ได้จากมะละกอหรือมะม่วงสุก แต่ก็มีวิตามินเอมากกว่าผลไม้อีกหลาย ๆ ชนิด เช่น ชมพู่ ส้มโอ น้อยหน่า เป็นต้น ในบรรดากล้วยทุกชนิดนั้น กล้วยน้ำว้าจะมีวิตามินเอมากกว่าเพื่อน สำหรับวิตามินตัวอื่น กล้วยก็มีอยู่ครบทุกชนิดเช่นกัน ทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอะซิน
แตงโม
- อมน้ำแตงโมบ่อยๆแก้แผลในปากได้
- ดื่มน้ำแตงโมคั้นจะช่วยบรรเทาอาการลิ้นแห้ง คอแห้ง วิงเวียน นอนไม่หลับ เปลือกแตงโม
- แก้ไตอักเสบ บวมน้ำ ใช้เปลือกแตงโมตากแห้งหนัก 40 กรัม ร่วมกับหญ้าคาสด หนัก 60กรัม ต้มน้ำแบ่งกิน 3 ครั้งใน 1 วัน
- แก้เบาหวาน ใช้เปลือกแตงโมและเปลือกฟักเขียวอย่างละ 30 กรัม ต้มน้ำดื่มวันละ3 ครั้ง
- ริมฝีปากแตก เจ็บคอ เอาเปลือกแตงโมแห้ง 30กรัม ต้มน้ำดื่มติดต่อกันหลายๆวัน
- ปวดฟัน เอาเปลือกแตงโมตากแห้งจำนวนพอเหมาะ บดผสมกับเกล็ดการบูร ทาบริเวณฟันที่ปวด
- ปวดเอว ยืดหดตัวไม่ได้ เอาเปลือกแตงโมเขียวๆ ที่ตากแห้งในร่มบดผสมเกลือกิน
ข้อควรระวัง
- หากกินแตงโมมากเกินไป อาจทำให้อาหารไม่ย่อยหรือท้องเสียได้
- ผู้ที่มีอาการม้ามพร่อง คือมีอาการร้อนใน มีไข้สูง ปวดหัว ท้องผูก คอแห้ง กระหายน้ำ ตัวร้อน เหงื่อออก ตาแดง ปากเหม็น ลิ้นแห้ง มีฝ้าสีเหลือง ปัสสาวะสีเข้มและน้อย ห้ามกินแตงโม
มะละกอ
- ดื่มน้ำแตงโมคั้นจะช่วยบรรเทาอาการลิ้นแห้ง คอแห้ง วิงเวียน นอนไม่หลับ เปลือกแตงโม
- แก้ไตอักเสบ บวมน้ำ ใช้เปลือกแตงโมตากแห้งหนัก 40 กรัม ร่วมกับหญ้าคาสด หนัก 60กรัม ต้มน้ำแบ่งกิน 3 ครั้งใน 1 วัน
- แก้เบาหวาน ใช้เปลือกแตงโมและเปลือกฟักเขียวอย่างละ 30 กรัม ต้มน้ำดื่มวันละ3 ครั้ง
- ริมฝีปากแตก เจ็บคอ เอาเปลือกแตงโมแห้ง 30กรัม ต้มน้ำดื่มติดต่อกันหลายๆวัน
- ปวดฟัน เอาเปลือกแตงโมตากแห้งจำนวนพอเหมาะ บดผสมกับเกล็ดการบูร ทาบริเวณฟันที่ปวด
- ปวดเอว ยืดหดตัวไม่ได้ เอาเปลือกแตงโมเขียวๆ ที่ตากแห้งในร่มบดผสมเกลือกิน
ข้อควรระวัง
- หากกินแตงโมมากเกินไป อาจทำให้อาหารไม่ย่อยหรือท้องเสียได้
- ผู้ที่มีอาการม้ามพร่อง คือมีอาการร้อนใน มีไข้สูง ปวดหัว ท้องผูก คอแห้ง กระหายน้ำ ตัวร้อน เหงื่อออก ตาแดง ปากเหม็น ลิ้นแห้ง มีฝ้าสีเหลือง ปัสสาวะสีเข้มและน้อย ห้ามกินแตงโม
มะละกอ
- ตากแห้ง บดเป็นผง 9 กรัม กินขณะท้องว่าง ตอนเช้าแก้พยาธิตัวตืด พยาธิตัวกลม
- ตากแห้งบดเป็นผงละเอียด ใช้โรยบริเวณผิวหนังที่อักเสบ เป็นผื่นแดง ตุ่มพุพองและแสบคัน วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยรักษาให้หายได้
-ใบ ใช้พอกแผลมีหนอง กลาก เกลื้อน และแก้บวม ปวด เจ็บ
-ยาง ใช้ย่อยเนื้อ ทำให้เนื้ออ่อนนุ่ม ช่วยย่อยอาหาร ย่อยคราบเลือดและหนองที่แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง ขับพยาธิและขับประจำเดือน ทากันหูด ตาปลา ติ่งและ จุดด่างดำ
-เมล็ด ขับพยาธิ ขับประจำเดือน ขับลม ใช้ทาแก้กลากเกลื้อนและโรคผิวหนัง
-ราก ขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน
-ดอก ใช้ชงน้ำดื่ม ขับประจำเดือน แก้ไข้ ดีซ่าน ต้มใส่น้ำตาลกินแก้โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจผิดปกติ
- ตากแห้งบดเป็นผงละเอียด ใช้โรยบริเวณผิวหนังที่อักเสบ เป็นผื่นแดง ตุ่มพุพองและแสบคัน วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยรักษาให้หายได้
-ใบ ใช้พอกแผลมีหนอง กลาก เกลื้อน และแก้บวม ปวด เจ็บ
-ยาง ใช้ย่อยเนื้อ ทำให้เนื้ออ่อนนุ่ม ช่วยย่อยอาหาร ย่อยคราบเลือดและหนองที่แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง ขับพยาธิและขับประจำเดือน ทากันหูด ตาปลา ติ่งและ จุดด่างดำ
-เมล็ด ขับพยาธิ ขับประจำเดือน ขับลม ใช้ทาแก้กลากเกลื้อนและโรคผิวหนัง
-ราก ขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน
-ดอก ใช้ชงน้ำดื่ม ขับประจำเดือน แก้ไข้ ดีซ่าน ต้มใส่น้ำตาลกินแก้โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจผิดปกติ
ลำไย
- มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด บำรุงประสาท และช่วยย่อยได้เป็นอย่างดี
- ผู้มีร่างกายอ่อนแอ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งฟื้นจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือหลังคลอดบุตร กินลำไยกับต้มจืดจะทำให้ร่างกายแข็งแรง
- ผู้มีอาการประสาทอ่อนๆ ประสาทเครียด ขี้ลืม นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เหงื่อออกมา เอาเนื้อลำไยแห้งต้มกับน้ำตาลทรายขาว แล้วเคี่ยวจนเหนียวข้น กินวันละ 2 ครั้ง จะแก้อาการดังกล่าวได้
ส้ม
- ผู้มีร่างกายอ่อนแอ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งฟื้นจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือหลังคลอดบุตร กินลำไยกับต้มจืดจะทำให้ร่างกายแข็งแรง
- ผู้มีอาการประสาทอ่อนๆ ประสาทเครียด ขี้ลืม นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เหงื่อออกมา เอาเนื้อลำไยแห้งต้มกับน้ำตาลทรายขาว แล้วเคี่ยวจนเหนียวข้น กินวันละ 2 ครั้ง จะแก้อาการดังกล่าวได้
ส้ม
- ทำให้ปอดชุ่มชื้น แก้ไอ แก้กระหายน้ำ แก้ฤทธิ์สุรา ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก
- มีผลต่อการรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน โรคกระเพาะเรื้อรัง อาหารไม่ย่อย
- กินส้มกับกล้วยหอม วันละ 3 ผล เป็นประจำทุกวัน และกินผักสดให้มาก จะช่วยลดความดันโลหิตสูง
- กินส้มครั้งแรก 3-4 ผล หลังจากนั้น 1-2 ผล วันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการร้อนในกระหายน้ำ คอแห้ง และปัสสาวะเหลือง
- ไอเรื้อรัง มีเสมหะมาก ใช้ส้ม 1 ผล ไม่ต้องปอกเปลือก น้ำตาลกรวด 15 กรัม ขิงสด 2 แว่น ที่หั่นบางๆแล้ว เอาไปตุ๋นนาน 1 ชั่วโมง กินทั้งเปลือกอาการดังกล่าวจะลดน้อยและค่อยหายไป
- เมาค้าง ดื่มน้ำส้มคั้น 1 แก้ว จะช่วยให้หายเมาค้างได้
- ใช้เปลือกส้มแช่ในน้ำที่อาบหรือล้างหน้า แล้วใช้น้ำนั้นอาบหรือล้างหน้าเป็นประจำ
- หลอดลมอักเสบ เปลือกส้มตากแห้ง หนัก 30 กรัม กับกระเทียม 15 กรัม นึ่งให้สุกแล้วกิน จะรู้สึกดีขึ้น
แอปเปิ้ล
- ทำให้ปอดชุ่มชื้น ช่วยย่อยสารอาหาร ลดกรดในกระเพาะ บำรุงกระเพาะอาหาร บำรุงกำลัง ละลายเสมหะ ขับร้อน
- มีคุณค่าในทางเป็นยา ดังภาษิตที่ว่า กินแอปเปิ้ลวันละผลไม่ต้องไปหาหมอ
- เนื้อแอปเปิ้ลที่เป็นเส้นใยจะทำหน้าที่ถูขัดฟันได้เป็นอย่างดี การเคี้ยวจะทำให้ฟันและเหงือกเรียบ และยังสามารถที่จะกำจัดเชื้อแบคทีเรียในปากได้ด้วย
- ผู้ที่กินแอปเปิ้ลเป็นประจำ วันละผล จะเป็นโรคปวดศรีษะน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน
- กินแอปเปิ้ลวันละผลหลังอาหารหรือก่อนนอน จะช่วยให้หายจากเลือดออกตามไรฟัน
- เอาเปลือกแอปเปิ้ลสดมาต้มน้ำดื่มกิน แก้อาการคลื่นไส้ และมีเสมหะได้ผลชะงัก
- มีคุณค่าในทางเป็นยา ดังภาษิตที่ว่า กินแอปเปิ้ลวันละผลไม่ต้องไปหาหมอ
- เนื้อแอปเปิ้ลที่เป็นเส้นใยจะทำหน้าที่ถูขัดฟันได้เป็นอย่างดี การเคี้ยวจะทำให้ฟันและเหงือกเรียบ และยังสามารถที่จะกำจัดเชื้อแบคทีเรียในปากได้ด้วย
- ผู้ที่กินแอปเปิ้ลเป็นประจำ วันละผล จะเป็นโรคปวดศรีษะน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน
- กินแอปเปิ้ลวันละผลหลังอาหารหรือก่อนนอน จะช่วยให้หายจากเลือดออกตามไรฟัน
- เอาเปลือกแอปเปิ้ลสดมาต้มน้ำดื่มกิน แก้อาการคลื่นไส้ และมีเสมหะได้ผลชะงัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น